Cellulite

เซลลูไลท์ (Cellulite) คืออะไร? มีสาเหตุ อาการ และวิธีการกำจัดอย่างไรได้บ้าง

เซลลูไลท์ ปัญหาผิว ที่ต้องทำความเข้าใจ

“เซลลูไลท์” จะไม่มีผลต่อสุขภาพในทางที่อันตรายกับชีวิตกระทันหันเหมือนกับการเป็นโรค แต่ก็ยังคงเป็นปัญหาที่ค่อนข้างน่ารำคาญใจ และทำให้ผู้ที่มีเซลลูไลท์รู้สึกไม่พอใจในรูปร่างของตัวเอง ในบทความนี้เราจึงจะพาทุกคนไปทำความรู้จักเกี่ยวกับเซลลูไลท์อย่างละเอียด พร้อมวิธีรับมือกับเซลลูไลท์กัน โดยก่อนอื่นเราไปทำความรู้จักกับเซลลูไลท์กันก่อนว่าคืออะไร

เซลลูไลท์ (Cellulite) คืออะไร

เซลลูไลท์ เป็นปัญหาที่สามารถเกิดขึ้นได้ง่าย พบได้กับทุกคน ทุกเพศ ทุกวัย แต่จะพบได้ง่ายสุด 9 ใน 10 ของผู้หญิง และสามารถเกิดขึ้นได้ทุกบริเวณตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย เช่น ต้นแขน ขา เข่า บริเวณสะโพก และบริเวณส่วนอื่น ๆ ที่มีไขมันสะสมสูง โดยเซลลูไลท์จะเป็นส่วนหนึ่งของเนื้อเยื่อใต้ผิวหนัง ซึ่งมีลักษณะเป็นเนื้อเยื่อไขมันที่ถูกเข้าไปในเส้นใยเนื้อเยื่อจำนวนมาก ทำให้บริเวณผิวหนังมีรูปร่างที่ไม่สม่ำเสมอและมีหน้าตาคล้าย “ผิวเปลือกส้ม” ซึ่งสามารถเกิดได้จากหลายกลไกด้วยกัน

Cellulite similar orange.

กลไกการเกิดเซลลูไลท์

เซลลูไลท์ (Cellulite) เกิดจากเซลล์ไขมันในชั้นใต้ผิวหนัง (Subcutaneous) หรือ ชั้นไขมัน (Subcutaneous) ประกอบด้วยเซลล์ไขมันเป็นหลัก ซึ่งปกติแล้วเซลล์ไขมันชั้นนี้จะทําหน้าที่ให้ความอบอุ่นแก่ร่างกาย ช่วยลดแรงกระทบกระแทกจากภายนอก แต่เมื่อร่างกายมีการสะสมไขมันไว้ในเซลล์ในปริมาณมากเกินไป ไขมันนั้นก็จะถูกดันออกมาให้เห็นเป็นเซลลูไลท์จากกลไกการเกิดเซลลูไลท์ 2 กลไก ดังนี้

  • เซลลูไลท์ เกิดจากเส้นใยคอลลาเจนอ่อนแอ เซลล์ไขมันจะติดอยู่ภายในระหว่างเส้นใยคอลลาเจน เมื่อเส้นใยคอลลาเจนใต้ผิวหนังอ่อนแอ หรือสูญเสียความยืดหยุ่น ไขมันที่สะสมอยู่จะเริ่มดันผ่านชั้นของเส้นใยดึงรั้งผิวหนังทำให้ผิวหนังเห็นเป็นคลื่นไม่เรียบเนียน
  • เซลลูไลท์ เกิดจากการไหลเวียนไม่ดี และการกักเก็บของเหลว เมื่อผนังหลอดเลือดสูญเสียความยืดหยุ่น เซลล์ไขมันเกิดการรั่วจนน้ำซึมผ่านเข้าออกจากเซลล์ไขมัน ส่งผลให้กระบวนการระบายน้ำเหลืองและการไหลเวียนของเลือดทำได้ไม่ดีนัก ความเร็วของการไหลเวียนเลือดจะลดลงแทนที่จะถูกขับออกมา ของเหลวส่วนเกินและของเสียจะถูกผลักไปยังเซลล์ไขมัน ทำให้เกิดการคั่งของน้ำจนเกิดการบวม และเซลล์ไขมันจับกันเป็นกลุ่มก้อนใหญ่ และแน่นจนเกิดเซลลูไลท์

cellulite in human skin

สาเหตุการเกิดเซลลูไลท์

ซึ่งการที่ร่างกายจะสามารถสร้างเซลลูไลท์ตามกลไกข้างต้นได้นั้น จะต้องมีสาเหตุเข้ามากระตุ้นให้ร่างกายเกิดการสะสมไขมัน หรือสาเหตุเข้ามาทำให้การทำงานของระบบต่าง ๆ มีประสิทธิภาพลดลง ดังนี้

  1. พันธุกรรม (Genetic factors) พันธุกรรมเป็นปัจจัยหนึ่งที่สำคัญในการเกิดเซลลูไลท์ โดยถ้าคนในครอบครัวมีประวัติการมีเซลลูไลท์ ก็อาจทำให้เรามีความเสี่ยงในการพบเซลลูไลท์เพิ่มขึ้นได้เช่นกัน เพราะว่าจะมียีนส์บางตัวที่ส่งผลต่อการสร้างเซลลูไลท์ มีผลต่อการเผาผลาญ การไหลเวียนเลือด และการกระจายตัวของไขมันใต้ผิวหนังในร่างกายนั่นเอง
  2. ระบบฮอร์โมน (Hormones) การเปลี่ยนแปลงของระบบฮอร์โมนในร่างกายความไม่สมดุลของระบบฮอร์โมนเอสโตรเจนและโปรเจสเตอโรน โดยฮอร์โมนที่เกี่ยวข้องคือฮอร์โมนเพศหญิงหรือ “ฮอร์โมนเอสโตรเจน” (Estrogen) ที่มีมากเกินไป จะเป็นตัวกระตุ้นการสะสมของไขมันในร่างกาย ทำให้มีการสะสมไขมันง่ายและมากขึ้น ส่งผลให้เกิดโรคอ้วนและทำให้เกิดเซลลูไลท์ได้ รวมไปถึงโรคไขมันในหลอดเลือดอีกด้วย ซึ่งในผู้หญิงที่มีฮอร์โมนเอสโตรเจนมากกว่าผู้ชาย จึงทำให้ผู้หญิงมีไขมันมากกว่าผู้ชายด้วยนั่นเอง ส่วน “ฮอร์โมนโปรเจสเตอโรน” จะเป็นตัวทำลายระบบไหลเวียนของเลือดและน้ำเหลืองให้เสียไป จึงทำให้เกิดการสะสมของสารพิษ และทำลายโครงสร้างผิวหนัง ให้หย่อนคล้อยเสียความยืดหยุ่น ผิวจึงเป็นก้อนไม่เรียบเนียนนั่นเอง
  3. โครงสร้างของผิว (Skin Structure) กล้ามเนื้อไม่แข็งแรง, อายุมากขึ้น, ผิวหนังได้รับความเสียหายจากแสงแดด, ไขมันส่วนเกิน, ฮอร์โมน และการไหลเวียนไม่ดี เป็นสาเหตุที่ทำให้โครงสร้างของผิวมีการเปลี่ยนแปลง โดยทำให้เส้นใยคอลลาเจนใต้ผิวหนังอ่อนแอหรือสูญเสียความยืดหยุ่น ไขมันที่สะสมอยู่จะเริ่มดันผ่านชั้นของเส้นใยขึ้นมาทำให้เห็นเป็นเซลลูไลท์นั่นเอง
  4. โครงสร้างไขมัน (Fat Structure) การเปลี่ยนแปลงของโครงสร้างของไขมัน โดยเมื่อเนื้อเยื่อไขมันมีมากขึ้นจะทำให้เนื้อเยื่อไขมันอาจอยู่ในเส้นใยเนื้อเยื่อที่เล็ก และไม่สามารถรับขนาดของเนื้อเยื่อไขมันได้ ซึ่งจะทำให้เกิดความตึงของเนื้อเยื่อและเซลลูไลท์ได้
  5. การใช้ยาคุมกำเนิด (Birth Control Pill) จะเกิดเซลลูไลท์คล้ายกับสาเหตุฮอร์โมน เนื่องจากในยาคุมกำเนิดมีส่วนผสมของ “ฮอร์โมนเอสโตรเจน” และ “ฮอร์โมนโปรเจสเตอโรน” โดยยาคุมกำเนิดแต่ละประเภทก็จะมีส่วนผสมของฮอร์โมนที่แตกต่างกัน ก็อาจจะทำให้โอกาสในการสะสมไขมันแตกต่างกันไปด้วย โดยยาคุมกำเนิดหลัก ๆ มี 2 ชนิด คือ ยาคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมนรวม และยาคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมนเดี่ยว ซึ่งมีรายละเอียด ดังนี้
      • ยาคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมนรวม (Combined Oral Contraceptive – COC) จะประกอบด้วยฮอร์โมนเอสโตรเจนและโปรเจสโตเจนรวมกันในเม็ดเดียว โดยยาคุมชนิดนี้จะมีประสิทธิภาพในการป้องกันการตั้งครรภ์สูงมาก หากรับประทานอย่างสม่ำเสมอ และยังมีผลดีทำให้ประจำเดือนมาตรงเวลาอย่างสม่ำเสมอ อาจปวดประจำเดือนน้อยลงได้
      • ยาเม็ดคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมนเดี่ยว (Progestrogen-only pills – POP) จะมีฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนเพียงอย่างเดียว ยาคุมชนิดนี้ในหนึ่งแผงจะมีทั้งหมด 28 เม็ด รับประทานได้ทุกวันโดยไม่ต้องหยุด เมื่อรับประทานหมดแล้วก็สามารถรับประทานแผงใหม่ต่อได้เลย เป็นชนิดที่ผลิตออกมาเพื่อลดอาการข้างเคียงจากฮอร์โมนเอสโตรเจน

Birth Control Pill

  1. อาหาร (Diet) การรับประทานอาหารที่ประกอบไปด้วยแป้ง, ไขมัน และน้ำตาล  เช่น ของทอด ขนมหวาน รวมไปถึงผลไม้หวานจัด และอาหารจำพวกเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไป เมื่อร่างกายเผาผลาญหรือนำไปใช้ไม่หมดก็จะเกิดการเก็บสะสมไว้ในรูปของไขมัน เกิดการสะสมไขมันภายในเซลล์ไขมัน เมื่อสะสมตัวมากเข้าก็จะกลายเป็นเซลลูไลท์ส่วนหนึ่งและทำให้ชั้นไขมันหนาขึ้นรูปร่างอ้วนด้วยอีกส่วนหนึ่ง
  2. สูบบุหรี่ (Smoking) ผู้ที่สูบบุหรี่จะมีแนวโน้มที่จะมีเซลลูไลท์มาก เนื่องจากสารนิโคตินในบุหรี่จะทำให้จะไปอุดตันในเส้นเลือด ทำให้เส้นเลือดฝอยหดตัว เส้นเลือดตีบ เลือดไปเลี้ยงเซลล์ไขมันไม่พอ และเกิดพังผืดเกิดภาวะเซลลูไลท์ได้ง่ายขึ้น นอกจากนี้ บุหรี่ยังทำให้เกิดความผิดปกติของไตและปอด ซึ่งเป็นอวัยวะในการขับถ่ายของเสีย เมื่อขอเงเสียขับออกไปจากร่างกายไม่หมด ก็จะทำให้ตกค้างในร่างกาย เกิดการบวมด้วยนั่นเอง
  3. ความเครียด (High stress) เมื่อร่างกายเกิดความเครียดจะทำให้ร่างกายเกิดการหลั่ง “สารอะดรีนาลิน” จนทำให้เกิดการสะสมสารพิษ และหลั่งสารที่เรียกว่า “แคททีโคลามีน” (catecholamines) ซึ่งนับเป็นกลุ่มฮอร์โมนที่กระตุ้นให้เกิดเซลลูไลท์ นอกจากนี้ เมื่อเกิดความเครียดร่างกายจะทำให้กล้ามเนื้อเกร็งตัว โดยเฉพาะกล้ามเนื้อบริเวณใบหน้า คอ บ่า ไหล่ และศีรษะ จนเกิดการสะสมของเสียในกล้ามเนื้อขัดขวางเนื้อเยื่อไม่ให้กำจัดของเสียอีกด้วย
  4. กายออกกำลังกาย (Exercise) การขาดออกกำลังกายจะทำให้ระบบไหลเวียนของน้ำเหลืองไม่ดีทำให้เกิดเซลลูไลท์ได้ง่ายขึ้น การกำจัดของเสียทางเลือดและน้ำเหลืองขัดข้องและคั่งค้าง และทำให้ฮอร์โมนไม่สมดุลจนกลายเป็นปัญหาต่อเนื่อง นอกจากนี้ หากเรามีไขมันสะสมมากเกินไป แต่ขาดการออกกำลังกายจะทำให้ไม่มีตัวช่วยเร่งการเผาผลาญและกำจัดไขมันส่วนเกินออกไปได้
  5. การลดน้ำหนัก (Weight Loss) การที่น้ำหนักลดลงไม่ได้หมายความว่าเซลลูไลท์จะลดลงตามไปด้วย แลุะยิ่งหากเราลดน้ำหนักได้อย่างรวดเร็วเกินไป จะส่งผลให้กลไกในร่างกายเกิดการตอบสนองว่าร่างกายเกิดการขาดสารอาหาร และจะได้ทำการเก็บพลังงานเอาไว้ใช้ จนทำให้เกิดการสะสมของอาหารและไขมันมากขึ้น เมื่อไขมันส่วนเกินเหล่านี้ไม่ได้ถูกกำจัดออกไปก็จะกลายเป็นเซลลูไลท์ขึ้นมานั่นเอง
  6. อยู่ในท่าเดียวนาน ๆ (Position) ไม่ว่าจะเป็นการนั่งนาน ๆ ยืนนาน ๆ หรืออยู่ในท่าเดียวเป็นระยะเวลานาน อยู่กับที่ไม่ลุกไปไหนเลย การนั่งไขว่ห้างเป็นประจำ อาจทำให้เส้นเลือดบริเวณต้นขาถูกกดทับ จะทำให้ระบบการไหลเวียนเลือดทำงานได้ไม่เต็มที่ การขับถ่ายของเสียทางเลือดแ ละน้ำเหลืองได้ไม่สะดวก ทำให้ร่างกายไม่ได้เผาผลาญพลังงาน จนเกิดไขมันสะสมบริเวณต้นจนเกิดเป็นเซลลูไลท์นั่นเอง นอกจากนี้ ยังทำให้มีปัญหาเส้นเลือดขอดหรือเท้าบวมตามมาอีกด้วย
  7. การดื่มน้ำน้อยกว่าปกติ (Drinking Water) น้ำเป็นส่วนหนึ่งของน้ำเลือดและน้ำเหลือง หากเรามีการดื่มน้ำน้อยเกินไปก็จะไม่มีน้ำช่วยไปหล่อเลี้ยงเซลล์ให้ทำงานได้ตามปกติ ผิวจึงแห้ง ขาดความชุ่มชื้น และทำให้ระบบไหลเวียนของน้ำเหลือง และการขับถ่ายของเสียออกจากร่างกายทำงานได้ไม่ดี จนทำให้เกิดเซลลูไลท์ได้ง่ายขึ้นนั่นเอง
  8. การดื่มแอลกอฮอล์ (Alcohol) การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์จะทำให้เซลล์สูญเสียน้ำ การกำจัดของเสียทำงานได้ไม่ดี และแอลกอฮอล์ยังเข้าไปทำลายเซลล์ตับ จนทำให้ตับขจัดสารพิษได้ไม่ดี ซึ่งหากดื่มมาก ๆ จะกลายเป็นสารพิษตกค้างอยู่ในร่างกายและเซลล์ไขมัน นอกจากนี้ เครื่องดื่มแอลกอฮอล์แคลอรีสูงดังนี้
      • เบียร์ 1 ขวด ขนาด 360 – 440 มล. ให้พลังงาน 120 – 160 แคลอรี = 3 หน่วยบริโภค
      • ไวน์ ขนาด 125 – 1 50 มล. ให้พลังงาน 100 – 110 แคลอรี = 1.5 หน่วยบริโภค
      • เหล้า 1 ขวด ขนาด 750 มล. (แอลกอฮอล์ 40%) ให้พลังงาน 1,500 – 1,550 แคลอรี = 30 หน่วยบริโภค

ซึ่งหากดื่มมากกเกินไป และไม่ได้มีการออกกำลังกาย หรือหาวิธีกำจัดออกไป ก็อาจจะทำให้ไขมันสะสมมากขึ้นจนเกิดเป็นเซลลูไลท์ได้ง่ายขึ้นนั่นเอง โดยเราจะสามารถดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ได้จากการหาค่าเฉลี่ยพลังงานที่ร่างกายควรได้รับในแต่ละวันก่อน ซึ่งปริมาณที่สามารถดื่มได้ต่อวันคร่าว ๆ นั้น คือ

      • ผู้ชายดื่มไม่เกิน 3 – 4 หน่วยบริโภค ต่อวัน
      • ผู้หญิงดื่มไม่เกิน 2 – 3 หน่วยบริโภค ต่อวัน

women drink alcohol

  1. ระบบเผาผลาญผิดปกติ บางคนอาจจะรู้สึกว่ารับประทานอาหารน้อยแต่น้ำหนักขึ้น เช่น ในคนที่อายุมากขึ้น หรือในโรคบางโรคก็มีส่วนทำให้ระบบเผาผลาญอาหารในร่างกายผิดปกติได้ เช่น โรคต่อมไทรอยด์ทำงานน้อย ซึ่งจะส่งผลให้เกิดเซลลูไลท์ตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกายได้ในระยะยาว
  2. ความบกพร่องของระบบขับถ่ายของเสีย เมื่อร่างกายมีการขับถ่ายของเสียออกมาได้อย่างไม่ค่อยมีประสิทธิภาพ เช่น จากตับและไตและระบบการไหลเวียนของเลือดไม่ปกติ ของเสียที่สะสมไว้ในร่างกายเหล่านี้จะค่อย ๆ ก่อตัวเป็นเซลลูไลท์ในที่สุด
  3. การตั้งครรภ์และภาวะหมดประจำเดือน มีสาเหตุเกี่ยวเนื่องมาจากเรื่องฮอร์โมนเอสโตรเจนไม่สมดุลเช่นกัน นอกจากนี้ ตอนตั้งครรภ์ยังทำให้เกิดผิวแห้ง เซลลูไลท์จึงถูกดันออกมาเห็นเซลลูไลท์ได้ชัดมากขึ้นนั่นเอง และตอนตั้งครรภ์คุณคุณแม่จะหิวบ่อย และหากเราตามใจปากตัวเองด้วยกินมากขึ้นก็จะทำให้ไขมันสะสมตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย และเกิดเป็นเซลลูไลท์ได้
  4. การสวมเสื้อผ้ารัดแน่น นอกจากจะทำให้รู้สึกอึดอัดไม่สบายเนื้อสบายตัว และเคลื่อนไหวร่างกายได้น้อยลงแล้ว ยังทำให้การไหลเวียนของเลือดบริเวณผิวหนังลดลง บางครั้งก็รัดมากเกินไปจนเกิดรอยบวมแดง ซึ่งจะทำให้การขับของเสียทางผิวหนังทำงานลดลงจนกลายเป็นเซลลูไลท์ได้
  5. เกิดจากยาบางชนิด เช่น การกินยานอนหลับเข้าไป จนยาเข้าไปรบกวนการทำงานตามธรรมชาติ ทำให้ระบบแปรปรวน หรือการกินยาขับปัสสาวะจนทำให้ร่างกายขาดน้ำ เป็นต้น

taking medication

อย่างไรก็ตาม แม้เราจะมีสาเหตุต่าง ๆ ที่กล่าวมา แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเราจะมีเซลลูไลท์ หากใครที่อยากรู้ว่าเรามีเซลลูไลท์หรือไม่ เรามีอาการหรือลักษณะที่บอกว่าเรากำลังมีเซลลูไลท์ในร่างกาย, เซลลูไลท์ 4 ระยะ, เซลลูไลท์ประเภทต่าง ๆ และเซลลูไลท์ที่พบได้บ่อยในร่างกายมาให้ได้ลองสังเกตตัวเองกัน

อาการหรือลักษณะที่บอกว่าเรากำลังมีเซลลูไลท์ในร่างกาย

  1. ผิวหนังไม่เรียบเนียน เซลลูไลท์ทำให้ผิวหนังไม่เรียบเนียน ผิวจะมีลักษณะเป็นคลื่น ๆ เริ่มมีรอยย่นหรือมีรอยบุ๋มเล็ก ๆ ในบางตำแหน่ง
  2. ผิวหนังมีสีผิวไม่สม่ำเสมอ บริเวณที่ได้รับผลกระทบจากเซลลูไลท์อาจมีสีหรือเฉดสีที่แตกต่างกันเล็กน้อยเมื่อเทียบกับผิวรอบข้าง โดยผิวอาจดูซีดลงหรือแดงขึ้นเล็กน้อย เนื่องจากการไหลเวียนของเลือดลดลง
  3. ผิวหนังบอบบางขึ้น ผิวที่ได้รับผลกระทบจากเซลลูไลท์อาจรู้สึกบอบบาง หรืออ่อนโยนกว่าผิวรอบข้าง โดยจะมีความไวต่อความรู้สึกที่อาจรุนแรงขึ้นเมื่อกดหรือสัมผัส
  4. รูปร่างที่ไม่สม่ำเสมอ เซลลูไลท์ทำให้รูปร่างไม่สม่ำเสมอและมีความไม่สมส่วน
  5. ความยืดหยุ่นของผิวหนังลดลง บริเวณผิวหนังที่เซลลูไลท์มักจะมีความยืดหยุ่นและความกระชับลดลง ซึ่งสามารถนำไปสู่ผิวที่มีลักษณะหย่อนคล้อยและหลวมได้

เซลลูไลท์ 4 ระยะ 

  • ระยะที่ 0 : เป็นระยะที่เริ่มมีพังผืดเกิดขึ้นบ้าง แต่ไม่มากนัก ไม่สามารถสังเกตเห็นได้ด้วยตาเปล่า หากยืน นั่ง หรือนอนจะยังมองไม่เห็น แต่เมื่อใช้มือบีบเนื้อบริเวณนั้น ๆ ขึ้นมา จะเห็นเป็นรอยบุ๋มเกิดขึ้น เหมือนผิวเปลือกส้ม
  • ระยะที่ : 1 มีรอยบุ๋มเพิ่มมากกว่าระยะที่ 0 แต่ยัง ไม่สามารถเห็นเซลลูไลท์หรือมองเห็นะเป็นรอยบุ๋มได้ชัดเจน แต่เมื่อใช้มือทำการลูบจับหรือบีบเนื้อบริเวณนั้น ๆ ขึ้นมาก็จะพบเซลลูไลท์เป็นรอยบุ๋มเกิดขึ้นได้ชัดขึ้น
  • ระยะที่ : 2 เริ่มมองเห็นรอยของเซลลูไลท์ได้ชัดเจนขึ้น ในขณะที่ยืนปกติโดยไม่ต้องหยิบผิวหนังขึ้นมา แต่จะไม่สามารถเห็นเซลลูไลท์ได้ขณะนอนราบ
  • ระยะที่ : 3 สามารถมองเห็นเซลลูไลท์ได้ชัดเจนที่สุดไม่ว่าจะเป็นการยืนหรือนอน และยังถือว่าเป็นระยะของเซลลูไลท์ที่มีความรุนแรงและรักษาลดเซลลูไลท์ได้ยาก

Cellulite 4 stages

เซลลูไลท์ ประเภทต่าง ๆ 

  • Soft Cellulite เป็นเซลลูไลท์ที่พบได้ในผู้หญิงอายุ 20 – 30 ปี มีลักษณะเป็นก้อนขนาดเล็ก มีริ้วลูกคลื่นแบบนิ่ม เป็นชนิดเซลลูไลท์ที่ไม่เจ็บปวดเมื่อสัมผัส ส่วนใหญ่เกิดจากพันธุกรรม และพฤติกรรมการรับประทานอาหารที่ทำให้เกิดไขมันสะสม รวมถึงไม่ค่อยได้ออกกำลังกายด้วย โดยเซลลูไลท์ชนิดนี้มักจะทำให้ผิวหย่อนคล้อย และมักพบได้มากในบริเวณร่างกายที่มีไขมันสะสม เช่น ท้องแขน, หน้าท้อง, สะโพก, ก้น และต้นขา จะมองเห็นได้ชัดเจนขึ้นเมื่อเรานอนราบ
  • Hard Cellulite เป็นเซลลูไลท์ที่พบได้ในผู้หญิงวัย 20 – 40 ปี มีลักษณะเป็นก้อนเล็ก ๆ และแข็งรวมกันหลายก้อน โดยมีลักษณะคล้ายผิวเปลือกส้มขรุขระ สามารถเกิดได้ทั้งคนที่มีน้ำหนักตัวมากและในคนที่ผอม ซึ่งจะพบมากบริเวณบั้นท้ายและสะโพก หากในกรณีที่มีเป็นขั้นที่รุนแรง เมื่อสัมผัสจะรู้สึกเจ็บ และรักษาค่อนข้างยาก
  • Flaccid Cellulite เป็นเซลลูไลท์ที่พบได้ในผู้หญิงที่มีอายุมากกว่า 40 ปี ที่ไม่ค่อยออกกำลังกาย มีลักษณะเป็นก้อนไขมันนุ่ม มีการหย่อนคล้อยของผิวหนังและกล้ามเนื้อเหลว สาเหตุมาจากไม่ชอบออกกำลังกาย พบได้มากในบริเวณหน้าท้อง รอบเอว ท้องแขน และคาง
  • Edmatous Cellulite เป็นเซลลูไลท์ที่พบได้ในผู้หญิงที่มีอายุ 20 – 30 ปี จะมีลักษณะคล้ายการบวมน้ำ เมื่อกดลงไปบนผิวจะมีลักษณะที่บุ๋มลงไป เนื่องจากระบบไหลเวียนของเลือดในร่างกายไม่ดีนัก ทำให้เกิดการคั่งของน้ำเหลืองที่บริเวณสะโพก หัวเข่า และเซลลูไลท์ต้นขา  โดยผิวหนังบริเวณนั้นจะเป็นผิวหนังบอบบาง เห็นเส้นเลือดได้ชัดเจนและบวม รวมถึงอาจจะจับแล้วรู้สึกเจ็บ หรือเวลานั่งนาน ๆ ก็จะรู้สึกเจ็บได้ สำหรับวิธีการลดเซลลูไลท์ชนิดนี้อาจต้องอาศัยการนวด เพื่อปรับการไหลเวียนของโลหิตให้ดีขึ้น
  • Mixed Cellulite เป็นเซลลูไลท์ที่พบได้ในผู้หญิงที่มีอายุ 20 – 30 ปีขึ้นไป เป็นเซลลูไลท์ที่พบในคนเดียวกันตั้งแต่ประเภท Soft Cellulite, Hard Cellulite,  Flaccid Cellulite  และ Edmatous Cellulite  ส่วนใหญ่เป็นผู้หญิงที่แต่งงานแล้ว โดยจะพบมากในผู้ที่ชอบรับประทานอาหารประเภทไขมัน น้ำตาล และแป้งมากเกินความต้องการของร่างกาย รวมถึงผู้ที่ไม่ค่อยได้ออกกำลังกายด้วย

เซลลูไลท์ ที่พบได้บ่อยในร่างกาย

  • ใต้คาง เป็นบริเวณที่อยู่ในสภาพกดลงอยู่ตลอดเวลา ทำให้การไหลเวียนของเหลวในร่างกายทำงานติดขัด ซึ่งส่งผลให้เกิดปัญหาเซลลูไลท์ตามมาได้
  • ท้ายทอย ต้นคอ เป็นจุดที่มีการไหลเวียนของเหลวในร่างกาย หากการไหลเวียนทำงานได้ไม่ดี อาจเกิดไขมันสะสมและปัญหาเซลลูไลท์ได้เช่นกัน
  • ท้องแขน จะมีไขมันสะสมอยู่มาก และยังเป็นบริเวณที่ไม่ค่อยขยับ จึงทำให้เกิดปัญหาผิวเปลือกส้มหรือเซลลูไลท์ได้มาก
  • หน้าท้อง รอบเอว อีกหนึ่งบริเวณที่มีไขมันสะสมอยู่ค่อนข้างมาก
  • สะโพกและก้น เป็นอีกหนึ่งจุดที่มีไขมันมาก และเป็นจุดที่มีการไหลเวียนของเหลวในร่างกาย เมื่อเกิดการกดทับก็จะทำให้มีเซลลูไลท์ได้ง่าย
  • ต้นขาและน่อง เซลลูไลท์ต้นขาเกิดจากการสะสมของไขมัน และมีปัญหาเรื่องการไหลเวียนในร่างกาย รวมถึงอาจมีการบวมน้ำ ทำให้ไขมันในใต้ผิวหนังแข็งตัวขึ้น และก่อตัวเป็นเซลลูไลท์ต้นขา
  • หัวเข่า เป็นจุดที่เป็นข้อต่อกระดูก มีผิวหนังที่หย่อนคล้อย และมีอาการบวมน้ำได้ง่าย เป็นสาเหตุหนึ่งของเซลลูไลท์ นอกจากนี้ หากเดินในท่าที่ไม่ถูกวิธีเป็นเวลานาน และมีอาการบวมน้ำเรื้อรัง จะส่งผลให้ไขมันใต้ชั้นผิวหนังแข็งตัวและเกิดเซลลูไลท์ได้ง่าย

showing legs with cellulite

เซลลูไลท์ เกิดขึ้นกับใครได้บ้าง 

เมื่อสังเกตตัวเองแล้วหลายคนอาจจะสงสัยว่า เพราะอะไรเราถึงมีเซลลูไลท์ได้ง่ายโดยเฉพาะผู้หญิง เราจะบอกว่าจริง ๆ แล้วแม้ว่าเซลลูไลท์จะมีโอกาสเกิดขึ้นได้ง่าย กับคนที่มีน้ำหนักเกินเกณฑ์มาตรฐาน หรือ ค่า BMI 30 ขึ้นไป แต่แท้จริงแล้วเซลลูไลท์สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคน โดย 9 ใน 10 ของผู้หญิงจะพบกับปัญหาเกี่ยวกับเซลลูไลท์ เนื่องจากเนื้อเยื่อเกี่ยวพันในผู้หญิงเรียงเป็นแนวตั้งและมีปริมาณ เซลล์ของไขมันจะจับกันเป็นกลุ่มก้อนขนาดใหญ่อัดกันอยู่อย่างหนาแน่น และดันออกมาให้เราเห็นเป็นเซลลูไลท์นั่นเอง ส่วนของผู้ชายเรียงเป็นสี่เหลี่ยมขนมเปียกปูนเล็ก ๆ และมีปริมาณไขมันสะสมน้อย จึงพบเซลลูไลท์ในผู้ชายได้ค่อนข้างน้อย ซึ่งปริมาณเซลล์ไขมันที่มากขึ้นนั้น จะมีปริมาณมากน้อยขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล แต่คนที่มีรูปร่างปกติ หรือ ค่า BMI 18.5 – 22.90 และคนที่มีรูปร่างผอมค่าหรือมีค่า BMI น้อยกว่า 18.5 ก็สามารถมีเซลลูไลท์ได้เช่นกัน

แต่ไม่ต้องกังวลใจไป แม้ว่าเซลลูไลท์จะเกิดได้กับทุกคน เราก็ยังสามารถลดเซลลูไลท์ได้ ด้วยวิธีลดเซลลูไลท์อย่างถูกต้อง ที่เรานำมาแนะนำกันวันนี้ ตามมาตรฐานการแพทย์ของประเทศไทย และคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญในด้านนี้

7 วิธี ลดเซลลูไลท์ อย่างถูกต้อง

  1. การออกกำลังกาย และการเคลื่อนไหว (Exercise) 

Exercise

การออกกำลังกายหรือการเคลื่อนไหวที่สม่ำเสมอ จะช่วยลดโอกาสในการสะสมไขมันและเซลลูไลท์ได้ เนื่องจากร่างกายจะถูกกระตุ้นให้เกิดการเผาผลาญไขมันได้มากขึ้นเคลื่อนไหว โดยอาจจะเริ่มด้วยการขึ้น-ลงบันไดบ่อย ๆ สำหรับคนที่ไม่ค่อยมีเวลาออกกำลังกาย และยังสามารถทำได้เป็นประจำทุกวัน ทุกที่ ทุกเวลาอีกด้วย แต่หากสามารถออกกำลังกายได้เลยก็จะดีมาก ๆ เพราะสามารถได้ทั้งการลดเซลูไลท์และป้องกันไม่ให้กลับมาเป็นซ้ำ โดยควรเลือกทำกิจกรรมที่ดีและเหมาะสมสำหรับร่างกายของแต่ละบุคคล แต่เราแนะนำว่าให้ออกกำลังกายแบบ “คาร์ดิโอ” และ”เวทเทรนนิ่ง” ไปด้วยกัน เพราะ “คาร์ดิโอ” จะช่วยในการเผาผลาญไขมันและรักษาน้ำหนักไว้ ส่วน “เวทเทรนนิ่ง” จะช่วยเพิ่มกล้ามเนื้อที่สูญเสียจากการออกกำลังกายแบบคาร์ดิโอ และเพิ่มกล้ามเนื้อให้มากขึ้น เพื่อให้กล้ามเนื้อช่วยเราเผาผลาญไขมันเพิ่มขึ้น ยิ่งเรามีกล้ามเนื้อมากเท่าไร แคลอรีที่เราสามารถเผาผลาญในแต่ละวันก็จะยิ่งมากขึ้นเท่านั้น ซึ่งจะสามารถช่วยเผาผลาญแคลอรีเพิ่มอีก 25% หลังจากออกกำลังกายเสร็จ

  • คาร์ดิโอ (Cardio) เป็นการออกกำลังกายประเภทหนึ่งที่ช่วยเพิ่มอัตราการเต้นของหัวใจให้อยู่ในระดับที่สูงกว่า 60% ของจุดที่เรารู้สึกเหนื่อยที่สุดอย่างต่อเนื่อง โดยไม่มีการลดระดับลงเพื่อช่วยเผาผลาญพลังงานและไขมันส่วนเกินในร่างกายได้ดีกว่าการออกกำลังกายแบบอื่น แต่ก็ต้องขึ้นอยู่กับปัจจัยในการออกกำลังกายด้วยเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นความเข้มข้นที่ใช้, น้ำหนักตัว, อัตราการเต้นของหัวใจในช่วงนั้น ๆ รวมไปถึงระยะเวลาในการออกกำลังกายที่ใช้ด้วย โดยปกติมักจะใช้เวลาในการออกกำลังกายประมาณ 30–60 นาที ซึ่งการออกกำลังกายแบบคาร์ดิโอมีหลายประเภทด้วยกัน นอกจากการวิ่งจะเป็นวิธีคาร์ดิโอที่เรารู้จักกันดีอยู่แล้ว ยังมีการออกกำลังกายอื่น ๆ ดังนี้
      • การวิ่ง (Run) : เป็นการออกกำลังกายที่ทำได้ง่าย เข้าถึงได้ทุกเพศทุกวัย และเสียค่าใช้จ่ายน้อย สามารถเผาผลาญไขมันได้ดี และช่วยลดเซลลูไลท์ได้ ซึ่งจะสามารถเผาผลาญพลังงานมาใช้ขณะทำกิจกรรมนั้น ขึ้นอยู่กับความเข้มข้นของกิจกรรมนั้น ๆ เช่น เดิน : ไขมัน 70-80% | คาร์บ 30-15% | เผาผลาญ 5 แคลอรี/นาที, วิ่งเหยาะ : ไขมัน 70% | คาร์บ 30% | เผาผลาญ 9 แคลอรี/นาที, วิ่ง : ไขมัน 50% | คาร์บ 50% | เผาผลาญ 13 แคลอรี/นาที และ วิ่งเร็ว : ไขมัน 10% | คาร์บ 90% | เผาผลาญ 20 แคลอรี/นาที
      • ว่ายน้ำ (Swim) : การว่ายน้ำเป็นกิจกรรมที่ช่วยเผาผลาญแคลอรีได้มากกว่าปกติ ซึ่งปริมาณแคลอรีที่เผาผลาญไปในระหว่างการว่ายน้ำ จะขึ้นอยู่กับท่าในการว่าย, ความหนักหน่วงในการออกกำลังกาย, น้ำหนักตัว, ความชำนาญในการว่ายน้ำ และระยะเวลาในการว่าย โดยปกติแล้วการว่ายน้ำ 1 ชั่วโมงจะเผาผลาญแคลอรีได้ประมาณ 400 กิโลแคลอรี อย่างไรก็ตาม การว่ายน้ำจะต้องคำนึงถึงสมรรถภาพร่างกาย เพราะหากหักโหมมากเกินไปเพื่อหวังการเผาผลาญแคลอรีก็อาจจะส่งผลให้เกิดอาการบาดเจ็บตามมาได้
      • กระโดดเชือก (Jump Ropes ) เป็นการออกกำลังกายวิธีหนึ่งที่สามารถช่วยให้ไขมันส่วนเกินหรือเซลลูไลท์สามารถหายไปได้ และเหมาะสำหรับคนที่ไม่มีเวลาออกกำลังกาย เพราะเป็นการออกกำลังกายที่ง่าย ทำได้ทุกที่แค่มีเชือกเส้นเดียว และไม่ต้องใช้เวลานาน โดยวการกระโดดเชือกติดต่อกันเป็นระยะเวลา 15 นาที กล้ามเนื้อขาจะเกิดการเกร็ง เทียบเท่ากับการเดิน-วิ่ง ออกกำลังกาย 30 นาที ซึ่งการกระโดดเชือก 1 ชั่วโมง สามารถเผาผลาญพลังงานได้ 600 แคลอรี เลยทีเดียว
  • เวทเทรนนิ่ง (Weight Training) หรือ การยกเวท เป็นการออกกำลังกายที่ช่วยเผาผลาญไขมัน ที่ทำให้กล้ามเนื้อออกแรงต้านจากการยกน้ำหนัก ซึ่งจะช่วยเพิ่มความแข็งแรงทนทานของกล้ามเนื้อ หลายคนที่ต้องการเผาผลาญไขมันหรือลดเซลลูไลท์ มักจะไม่ค่อยใช้วิธีเวทเทรนนิ่งในการออกกำลังกาย เพราะเข้าใจผิดว่าคนที่ยกเวทจะทำให้มีกล้ามแขนใหญ่ แต่จริง ๆ แล้วการจะมีกล้ามใหญ่ ๆ เหมือนนักเล่นกล้ามได้ยังมีอีกหลายปัจจัย เช่น วินัยในการฝึก, ความเข้มข้นของการออกกำลังกาย และการควบคุมปริมาณสารอาหาร เป็นต้น แต่การลดเซลลูไลท์ช่วยทำให้ร่างกายของเรามีมวลกล้ามเนื้อมากขึ้นเท่านั้น โดยปริมาณไขมันจะถูกเผาผลาญในขณะทำกิจกรรมนี้เฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 180 – 200 kcal. ต่อชั่วโมง (อาจมากหรือน้อยกว่าจำนวนนี้ ขึ้นอยู่กับ เพศ วัย น้ำหนักตัว และกิจกรรมที่ทำ) สำหรับมือใหม่ที่เพิ่งเริ่มต้น ผู้เชี่ยวชาญด้านกายภาพบำบัด อาจจะแนะนำสิ่งที่ควรรู้เกี่ยวกับการออกกำลังกายแบบเวทเทรนนิ่ง ดังต่อไปนี้
      • วอร์มอัพ ร่างกายก่อนเริ่มเวทเทรนนิ่งทุกครั้ง โดยเริ่มจากการวอร์มอัพแบบแอโรบิก เช่น เดิน วิ่งเหยาะๆ หรือปั่นจักรยานช้าๆ ประมาณ 5 นาที พร้อมกับยืดกล้ามเนื้อแบบเคลื่อนไหว คือขยับตัวยืดเหยียดไปด้วยช้า ๆ
      • ทำสัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง การเวทเทรนนิ่งสำหรับผู้เริ่มต้น แนะนำให้ทำสัปดาห์ละ 2 – 3 ครั้งเพื่อผลลัพธ์ที่ดี และควรเป็นการเวทเทรนนิ่งกล้ามเนื้อมัดใหญ่ เช่น หัวไหล่ แขน ขา สะโพก หลัง หน้าอก และลำตัว ประมาณ 8 – 10 ท่า แต่ละท่าทำประมาณ 8 ครั้ง ทั้งหมด 1 เซ็ต ไม่ควรฝืนทำมากเกินไป เพราะจะเกิดการบาดเจ็บได้
      • ควรมีช่วงเวลาพักกล้ามเนื้อ แต่ละส่วนอย่างน้อย 48 ชั่วโมง เพื่อให้กล้ามเนื้อเกิดความแข็งแรง และมีมวลกล้ามเนื้อเพิ่มขึ้นเต็มที่ และหลีกเลี่ยงการเวทกล้ามเนื้อส่วนเดียวกัน 2 วันติด
      • ค่อย ๆ เพิ่มเซ็ต หลังจากคุ้นเคยกับระดับการเวทเทรนนิ่งแล้ว ให้ค่อย ๆ เพิ่มเป็นท่าละ 2 – 3 เซ็ต เช็ตละ 8 – 12 ครั้ง และทำทุก 2 – 3 วัน หากทำเซ็ตละ 12 ครั้งได้ง่ายแล้ว ค่อยปรับให้หนักขึ้นเพื่อเข้าสู่เป้าหมายที่ตั้งไว้
      • เพิ่มการออกกำลังกายให้หลากหลายชนิด หากมีภาวะน้ำหนักนิ่ง (Training Plateau) คือการที่น้ำหนักไม่ลดลงแล้ว แม้จะออกกำลังอย่างสม่ำเสมอ และควบคุมอาหารการกินอย่างเคร่งครัด

ซึ่งการออกกำลังกายแบบเวทเทรนนิ่งที่เราคุ้นเคยกันดีจะเป็นการยกน้ำหนัก แต่จริง ๆ แล้ว “โยคะ” ก็เป็นการออกกำลังกาแบบเวทเทรนนิ่งเช่นกัน โดยมีตัวอย่างท่าโยคะดังนี้

      • โยคะท่า Lunges จากท่ายืนตรง ยกขาข้างหนึ่งไปด้านหน้า ทิ้งน้ำหนักตัวไปข้างหน้าจนขาสัมผัสพื้น ย่อตัวจนต้นขาตั้งฉากกับพื้น เข่าด้านหลังสัมผัสพื้นหรือไม่สัมผัสก็ได้ ลำตัวตั้งตรง ท่านี้หากทำถูกวิธีจะรู้สึกตึงๆ ขา ทำบ่อยๆ รับรองขากระชับ ไขมันหายแน่นอน
      • โยคะท่า Squats เป็นท่าที่สาวๆ นิยมกันสุดๆ เพราะเป็นท่าออกกำลังกายเนรมิตก้นสวยๆ นั่นเอง เริ่มจากยืนตรง กางขา จากนั้นย่อขาลงให้ได้มากที่สุด พยายามรักษาสมดุลระหว่างขา เท้า และก้น อย่ายื่นไปข้างหน้า หรือข้างหลังมากเกินไป อาจจะยื่นแขนไปข้างหน้าเพื่อรักษาสมดุลของร่างกายได้ ถ้ารู้สึกตึงๆ ที่ขา และก้น แสดงว่าทำถูก นอกจากก้นสวยไร้ไขมันแล้ว ยังได้เรียวขาสวยราวกับนางแบบอีกด้วย
      • โยคะท่า Dead Lift เล่นเวทก็เป็นการออกกำลังกายที่ช่วยกระชับกล้ามเนื้อได้ยิ่งขึ้น ถ้าอยากลดเซลลูไลท์ที่ต้นแขน เป็นไปไม่ได้เลยที่จะหลีกเลี่ยงการยกเวท หรือยกน้ำหนัก ใครถนัดดัมเบลก็ได้ แต่หากยกเวทด้วยท่า dead lift ทั้งสองแขนพร้อมกันแบบนี้ ก็จะยิ่งเห็นผลดี และเร็วยิ่งขึ้น ที่สำคัญประหยัดเวลามากกว่า เพราะยกทีก็ได้ออกกำลังกายพร้อมกันทั้ง 2 แขน
      • โยคะท่า Hip Bridges ท่านี้ให้ผลดีมาก ๆ ในเรื่องของการลดไขมันส่วนเกิน หรือ เซลลูไลท์ โดยเฉพาะช่วงต้นขา และก้น แต่ในส่วนของหน้าท้อง และ “ปีก” ใต้เสื้อชั้นในด้านหลังก็หายไปได้ด้วยเช่นกัน นอนหงาย วางแขนราบกับพื้น ตั้งเข่าตรง แล้วดันก้นให้ลอยจากพื้น สามารถยกขาข้างใดข้างหนึ่งเพิ่มความเมื่อยเข้าไปอีกก็ย่อมได้ (แล้วอย่าลืมสลับขาด้วย) ถ้าทำถูกจะเมื่อยมาก แต่ได้ผลแน่นอน
  1. การดูแลสุขภาพอาหาร (Food)

apple cider

โดยเราควรกินอาหารที่มีประโยชน์แบบครบ 5 หมู่ ให้สมดุล ไม่มาก หรือ น้อยจนเกินไป และควรรับประทานอาหารที่มีสารอาหารช่วยกระตุ้นระบบเผาผลาญ ก็สามารถช่วยลดโอกาสในการสะสมไขมันและเซลลูไลท์ได้ แต่ก็จะมีอาหารที่โดดเด่นในการกระตุ้นการเผาผลาญไขมัน และช่วยลดเซลลูไลท์ได้เฉพาะ ดังนี้

  • แบล็กเบอร์รี : อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระที่ตรงเข้าไปลดไขมัน ก่อนที่ไขมันจะเข้าไปจับตัวเซลล์เนื้อเยื่ออ่อน จนทำให้เป็นก้อนใต้ชั้นผิว และส่งผลให้ผิวไม่เรียบเนียน อีกทั้งยังช่วยสร้างคอลลาเจน และกระตุ้นการสร้างเซลล์ผิวใหม่ซึ่งทำให้ผิวกระจ่างใสและมีความเรียบเนียนได้มากกว่าเดิมนอกจากนี้ แบล็กเบอร์รียังมีแคลอรี, คาร์โบไฮเดรต และไขมันต่ำ โดยแบล็กเบอร์รี 1 ถ้วย จะให้พลังงานที่ราว ๆ 62 กิโลแคลอรีเท่านั้น แถมยังมีเส้นใยสูง ช่วยทำให้อิ่มนาน จึงมีประโยชน์มากต่อการลดไขมันใหม่ หรือจะเลือกรับประทานแบล็กเบอร์รีเป็นอาหารว่างก็ได้เช่นกัน
  • สับปะรด : มีการศึกษาหนึ่งพบว่า น้ำสับปะรดช่วยลดการสร้างไขมัน และเพิ่มการสลายไขมันได้ เนื่องจาก มีแคลอรีต่ำ โดยสับปะรด 1 ผล จะให้พลังงานที่ราว ๆ 60 กิโลแคลอรีเท่านั้น, มีไฟเบอร์ทำให้รู้สึกอิ่มนาน และ อุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุสูง เช่น โพแทสเซียม, วิตามินบี, แมกนีเซียม, ไนอาซิน, ทองแดง เหล็ก, วิตามินซี และมีสารสำคัญ คือ “สารโบรเมอเลน” ซึ่งเป็นสารที่ช่วยเพิ่มการไหลเวียนของเลือด เมื่อระบบเลือดทำงานได้ดี ส่งผลให้การทำงานในระบบอื่น ๆ ดีตามไปด้วย  นอกจากนี้ ยังสามารถช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ช่วยลดน้ำหนัก ช่วยป้องกันโรคหัวใจ และเบาหวานได้อีกด้วย
  • หน่อไม้ฝรั่ง : มีปริมาณไฟเบอร์สูง ช่วยทำให้อิ่มท้อง ไม่หิวบ่อย เป็นผักที่มีแคลอรีต่ำ โดยหน่อไม้ฝรั่งเพียง 1 กรัม จะให้พลังงานเพียงแค่ 20 กิโลแคลอรีเท่านั้น โดยหน่อไม้ฝรั่งมีส่วนช่วยลดไขมันเลวในร่างกายได้เป็นอย่างดี ช่วยรักษาระดับไขมันชนิดดีหรือ HDL ในร่างกายไว้ ช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นและความแข็งแรง ให้แก่หลอดเลือดดำและเส้นเลือดฝอย ทำให้ระบบไหลเวียนเลือดมีประสิทธิภาพดี แถมยังมีสรรพคุณช่วยในการขับปัสสาวะ ตลอดจนทำให้ร่างกายสามารถขับสารพิษที่สะสมอยู่ได้ง่ายยิ่งขึ้น ซึ่งวิธีรับประทานให้นำไปปรุงให้สุก ด้วยการลวก หรือนึ่งเสียก่อน จะทำให้ร่างกายดูดซึมสารอาหารจากหน่อไม้ฝรั่งได้ง่ายขึ้น
  • พริก : ความเผ็ดที่ได้จากพริกจากสารอย่าง “แคปไซซิน” (Capsaicin) และ “กรด Ascorbic acid” จะช่วยเพิ่มความสามารถของร่างกายในการผลิตความร้อนขึ้นภายในร่างกาย ที่สามารถช่วยกระตุ้นการเผาผลาญ ลดไขมัน ลดความอยากอาหาร เพิ่มการไหลเวียนของเลือดในร่างกายได้ จึงทำให้เกิดการเผาผลาญไขมันได้รวดเร็วยิ่งขึ้น นอกจากนี้ พริกยังมีวิตามินซีที่สูงมาก ๆ โดยมีงานวิจัยพบว่า วิตามินซีจะช่วยเผาผลาญไขมันได้เพิ่มขึ้นถึง 30%
  • น้ำมันมะกอก : เป็นไขมันดี และยังอุดมไปด้วย “สารโพลีฟีนอล” ซึ่งเป็นสารที่ช่วยทำให้ต่อมไทรอยด์ทำงานได้ดี ทั้งนี้ เมื่อต่อมไทรอยด์ทำงานได้เป็นปกติ ก็จะช่วยบูสต์ระบบการเผาผลาญให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ทำให้ช่วยลดไขมัน และลดเซลลูไลท์ ได้ดีตามไปด้วย ดังนั้นเมื่อไขมันชั้นผิวมีน้อย ก็จะทำให้เกิดการสร้างเซลล์ผิวใหม่มาเติมร่องลึก จึงทำให้ผิวมีความเรียบเนียนและกระชับมากขึ้นกว่าเดิม
  • แอปเปิลไซเดอร์ : แอปเปิ้ลไซเดอร์มี “กรดอะซิติ” ซึ่งมีคุณสมบัติช่วยลดความอยากอาหาร เมื่อดื่มแอปเปิ้ลไซเดอร์จะทำให้รู้สึกอิ่มไวขึ้น ส่งผลให้รับประทานอาหารน้อยลง ทำให้ช่วยลดการก่อตัวของเซลลูไลท์ได้ และยังช่วยกระตุ้นการเผาผลาญ และช่วยลดไขมันในเลือด นอกจากนี้ ยังอุดมไปด้วยโพแทสเซียม แมกนีเซียม และแคลเซียม ซึ่งเป็นสารอาหารที่มีส่วนช่วย “ดีท็อกซ์” ของเสียออกจากร่างกาย ช่วยทำความสะอาดระบบทางเดินอาหาร กระตุ้นกระบวนการขับสารพิษของตับ และช่วยขับน้ำที่คั่งในเซลล์ ทำให้อาการบวมและอาการท้องอืดลดลงได้อีกด้วย
  • ชาเขียว : ชาเขียวมีสารต้านอนุมูลอิสระ “สารคาทิชิน” และ “คาเฟอีน” และ “EGCG” (epigallocatechin gallate) ซึ่งเป็นสารที่สามารถเพิ่มการเผาผลาญ ช่วยป้องกันเส้นใยคอลลาเจนไม่ให้ถูกทำลาย ช่วยให้ผิวมีความหนาแน่น แข็งแรง สุขภาพดี สารกระตุ้นที่รู้จักกันดีว่าช่วยเผาผลาญไขมัน และเพิ่มประสิทธิภาพการออกกำลังกาย โดยชาเขียว 1 ถ้วย (100 – 200 มก.) จะมีคาเฟอีนเพียง 24 – 40 มก. ปริมาณน้อยกว่ากาแฟหนึ่งถ้วย แต่ก็มีประสิทธิภาพมากพอ โดยการศึกษาพบว่า การดื่มชาเขียว 1 ถ้วย จะช่วยเพิ่มปริมาณสารต้านอนุมูลอิสระในกระแสเลือด
  • ปลาแซลมอน : มีสารต้านอนุมูลอิสระค่อนข้างสูง แม้จะมีแคลอรี่สูง แต่เป็นไขมันดี และยังมีกรดไขมันโอเมก้า 3 ที่ช่วยลดความอยากอาหารได้ดี นอกจากนี้ ยังช่วยลดอาการอักเสบ พร้อมทั้งช่วยฟื้นคืนความแข็งแรงให้กับเนื้อเยื่ออ่อน ที่คอยให้ความยืดหยุ่นแก่ผิวอีกด้วย และมีโปรตีนสูงมากด้วย เหมาะกับการลดน้ำหนัก เพราะจะช่วยเพิ่มการเผาผลาญให้ดีขึ้นลดไขมันเลวในร่างกายออกไป
  • ดาร์กช็อกโกแลต : ช็อกโกแลตมี “สารคาเฟอีน” โดยสารชนิดนี้จะช่วยดึงน้ำออกจากเซลล์ไขมัน จึงทำให้ไขมันไม่พองตัว และยังช่วยลดการเกิดรอยขรุขระในผิวได้เป็นอย่างดี และยังมี “สารฟลาโวนอยด์” และ “โพลีฟีนอล” ที่มีส่วนช่วยเพิ่มระดับไขมันดี (HDL) ในเลือด ซึ่งเมื่อระดับไขมันดีเพิ่มขึ้น ก็ส่งผลให้ระดับไขมันเลว หรือ LDL ลดลง การกินดาร์กช็อกโกแลตเป็นประจำจึงช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในเลือดลงได้
  • เมล็ดทานตะวัน :  เมล็ดทานตะวันเป็นธัญพืชที่ช่วยลดไขมันได้เร็ว เพราะสามารถกินเป็นขนมขบเคี้ยวได้ตลอดทั้งวัน เหมาะกับคนที่ชอบกินจุกจิก ที่สำคัญเมล็ดทานตะวันยังอุดมไปด้วย “วิตามินอี” ซึ่งทำหน้าที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระชั้นยอด สามารถกำจัดกับสารพิษ และป้องกันการอักเสบต่างในร่างกาย นอกจากนี้ เมล็ดทานตะวันยังอุดมไปด้วยแมกนีเซียม ที่จะช่วยลดความตึงเครียด ช่วยเผาผลาญแคลอรีในร่างกายได้มากขึ้น ส่วนโปรตีน ไฟเบอร์ และวิตามินบี ที่อยู่ในเมล็ดทานตะวัน ยังมีส่วนสำคัญในการเผาผลาญพลังงาน และทำให้คุณอิ่มอยู่ท้องนานกว่าเดิมอีกด้วย

  1. การสปาและการนวด (Spa & Massage)

Spa & Massage

การนวดจะช่วยกระตุ้นการเผาผลาญไขมันในเซลลูไลท์ ช่วยปรับระบบการไหลเวียนของเลือด และกระตุ้นระบบท่อน้ำเหลือง ซึ่งจะช่วยกำจัดพิษและลดการสร้างของเหลวบริเวณเซลลูไลท์ ซึ่งจะใช้ร่วมกับครีมนวดสลายไขมัน มีส่วนผสมสำคัญจากธรรมชาติที่ช่วยในการเผาผลาญไขมันโดยเฉพาะ หรือบางเทคนิกจะใช้พลาสติกแร็ป หรือ อีลาสติกแร็ป เพื่อทำให้เห็นผลลัพธ์ที่เร็วขึ้น อีกทั้ง การทำสปาและการนวดยังสามารถช่วยทำให้ผิวชุ่มชื้น เรียบเนียน และทำให้ผ่อนคลายจากความเครียด ซึ่งเป็นหนึ่งในสาเหตุของการสะสมไขมันได้อีกด้วย โดยการนวดเพื่อลดเซลลูไลท์มีหลัก ๆ ดังนี้

  • การนวดไทย (Traditional Thai Massage) เป็นศิลปะการนวดที่มีมาตั้งแต่สมัยโบราณของประเทศไทย การนวดไทยใช้การกดกับเส้นใยเนื้อเยื่อ ลำตัว และข้อต่าง ๆ โดยในการกดปล่อยจะมีวิธีการนวดหลากหลาย เช่น การนวดด้วยมือ ปลายเท้า ศีรษะ และต่อมนวด การนวดไทยจะช่วยกระตุ้นการเผาผลาญไขมัน และเพิ่มความร้อนในเซลลูไลท์ ยังช่วยให้ร่างกายผ่อนคลาย สบายตัว และมีสมาธิที่ดีขึ้นอีกด้วย
  • การนวดเพื่อลดเซลลูไลท์ (Cellulite Massage) เป็นการนวดเพื่อลดเซลลูไลท์โดยเฉพาะ โดยจะทำการนวดเบา ๆ  ที่เปลี่ยนตำแหน่งไปตามบริเวณที่มีเซลลูไลท์ เช่น การนวดด้วยมือ การใช้ระบบท้ายเท้า การใช้ลีบ และการใช้เครื่องนวด เพื่อเพิ่มการเผาผลาญไขมันและการเปลี่ยนเนื้อเยื่อไขมัน ซึ่งควรใช้การนวดที่ถูกต้องและผู้ที่มีความชำนาญในการทำ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีและปลอดภัยในการนวดเพื่อลดเซลไลท์นั้นเอง โดยทั่วไปมีวิธีการนวด ดังนี้
      1. ท่าเตรียมพร้อมก่อนเจอของจริง ทาครีมลดเซลลูไลท์หรือครีมสูตรสลายไขมันที่คุณมีให้ทั่วต้นขา จากนั้นเริ่มนวดขาตั้งแต่ปลายเท้าหรือหัวเข่าขึ้นมาจนถึงหน้าขา­­ ท่านี้จะช่วยให้เส้นระบบเลือดบริเวณต้นขาไหลเกิดการสูบฉีดดีขึ้­­น
      2. บีบไล่ไขมัน ใช้มือทั้งสองข้างบีบเนื้อบริเวณต้นขา สะโพก หรือหน้าท้องเป็นจังหวะ เวียนไปให้ครบทั้งพื้นที่ของส่วนที่คุณต้องการกำจัดเซลลูไลท์ เพื่อให้เส้นเลือดเข้าใกล้ผิวหนังชั้นนอกมากขึ้นกว่าเดิม อีกทั้งท่านี้ยังเป็นท่ายกกระชับกล้ามเนื้อ กระตุ้นให้ผิวหนังชั้นในและหลอดเลือดขับของเสียออกมาได้สะดวกยิ­­่งขึ้น
      3. ไถเซลลูไลท์ให้เกลี้ยง กำมือทั้งสองข้างให้แน่นพอสมควร คว่ำมือลงบนหน้าขา โดยที่มือหนึ่งคว่ำลงในแนวดิ่ง อีกมือหนึ่งวางตามขวาง แล้วลงน้ำหนักข้อมือกดผิวเนื้อบริเวณนั้นจนปรากฎผิวเปลือกส้ม ท่านี้จะช่วยให้ไขมันส่วนเกินบริเวณที่ถูกนวดแตกตัว คราวนี้ระบบเผาผลาญก็ดึงออกไปกำจัดได้ง่ายขึ้นแล้ว
      4. บิดเนื้อเป็นรูปตัว S ใช้มือทั้งสองข้างบีบเนื้อย้วย ๆ บริเวณต้นขา แล้วจัดการบิดให้เป็นรูปตัว S ขยับมือไปมาเพื่อให้เกิดความเคลื่อนไหว กระจายไขมันให้แตกตัวร่างกายจะได้ขับถ่ายได้สะดวกขึ้นอีกนิด
      5. เกลี่ยผิวเปลือกส้ม วางมือทั้งสองข้างลงบนบริเวณที่ต้องการนวด จากนั้นขยับมือขึ้น – ลง ให้เหมือนกำลังใช้ผ้าขนหนูขัดผิวไป – มา เป็นการผ่อนคลายกล้ามเนื้อไม่ให้ตึงเครียดจนเกินไป
      6. กระตุกกล้ามเนื้อ วางมือคล้ายท่าเริ่มต้น แต่ออกแรงดันผิวเนื้อบริเวณนั้นเข้าหากันค่อนข้างแรงนิดหน่อย ท่านี้ช่วยกระตุ้นให้หลอดเลือดส่วนบนขับไขมันสะสมออกมา ส่งต่อให้ระบบเผาผลาญจัดการกำจัดออกไปตามระบบปกติของร่างกาย
  1. การผ่าตัดเซลลูไลท์ (Cellulite Surgery)

surgery

ถ้ามีความจำเป็นและระดับรุนแรงของเซลลูไลท์ การผ่าตัดอาจเป็นวิธีการที่ช่วยได้ โดยการตัดพังผืดที่ยึดระหว่างเซลล์ไขมันและฉีดไขมันเข้าไปใหม่ พร้อมกับป้องกันการเกิดพังผืดระหว่างไขมัน การรักษา Cellulite ไม่ใช่การดูดไขมันปกติ ซึ่งจะดูดเฉพาะไขมันส่วนนั้น ๆ แต่ไม่ตัดพังผืดที่ยึดระหว่างเซลลูไลท์ การรักษาเซลลูไลท์ โดยการผ่าตัดไม่ใช่การลดน้ำหนัก แต่เป็นการรักษาเซลลูไลท์ที่ได้ผลถาวร แต่อาจต้องมีการผ่าตัด 2 – 3 ครั้ง และมีการดูแลตัวเองหลังผ่าตัด ดังนี้

  • ใช้ไม้พันสำลีชุบน้ำยาสะอาดในขวด เช็ดคราบเลือด และสิ่งสกปรกออก
  • รับประทานยาตามแพทย์สั่งจนหมด ถ้าเกิดการแพ้ยา เช่น คัน มีผื่น แดง คลื่นไส้ – อาเจียน แน่นหน้าอก ให้หยุดรับประทานทันที และรีบมาพบแพทย์
  • หลังการผ่าตัด 5 วัน ให้มาตัดไหม
  • หลังทำผ่าตัด 2 อาทิตย์ หรือ 1 เดือน ให้มาพบแพทย์ เพื่อตรวจอาการอีกครั้ง
  • พันผ้าบริเวณที่ดูดไขมัน ประมาณ 4 – 6 อาทิตย์
  • แผลผ่าตัดจะเห็นชัดในช่วงแรก และจะดีขึ้นตามลำดับภายใน 1 – 2 ปี
  • ควรใส่ชุดชั้นในรัดรูปประมาณ 1 เดือน เพื่อให้ได้รูปร่างที่ดีและลดบวม
  • ถ้าคันตัวสามารถทาแป้งแก้คันได้ แต่ห้ามทาที่แผล
  • รัดสเตย์ให้แน่น และอย่าให้มีรอยย่นบนสเตย์
  • แพทย์จะนัดตัดไหมเมื่อครบ 7 วัน
  1. การดูดไขมัน (Liposuction) 

Liposuction

คือการใช้อุปกรณ์พิเศษขนาดเล็ก สอดใต้ชั้นผิวเพื่อทำให้ไขมันละลายหรือแตกตัว ก่อนจะดูดไขมันสะสมออกมา ซึ่งการดูดไขมันนั้นจะช่วยทำให้ได้สัดส่วนที่สวยงาม เข้ารูป ลดไขมันส่วนเกินตามจุดต่าง ๆ ได้ภายในเวลาอันรวดเร็ว โดยปกติมักได้ผลดีในการลดสัดส่วน และการลดไขมันเฉพาะจุด แต่ได้ผลไม่มากนักในการแก้ปัญหาผิวที่มีเซลลูไลท์ ทำให้วิธีนี้ไม่สามารถช่วยให้เซลลูไลท์หายไปได้

  1. การฉีดเมโส (Meso Fat) 

Meso Fat

เป็นการส่งผ่านตัวยาเข้าไปในชั้นผิวหนังและชั้นไขมัน เพื่อช่วยในการย่อยสลายไขมันส่วนเกินรวมถึงเซลลูไลท์ที่สะสมอยู่ในชั้นไขมัน โดยเข้าไปกระตุ้นให้ไขมันแตกตัว ช่วยเพิ่มการไหลเวียนของเลือดและระบบการทำงานของต่อมน้ำเหลือง เพิ่มประสิทธิภาพให้ร่างกายสามารถเผาผลาญและขับไขมันส่วนเกินออกมาได้อย่างง่ายดายผ่านการขับถ่ายของร่างกายตามธรรมชาติ ทั้งยังช่วยยกกระชับผิวให้ดูเต่งตึง สามารถใช้ได้ทุกส่วนของร่างกาย ทั้งที่คาง แก้ม ต้นแขน ต้นขา สะโพก พุง หน้าท้อง และไขมันที่น่อง

  1. การใช้เทคโนโลยีลดเซลลูไลท์ (Technology)

Technology

ปัจจุบันมีเทคโนโลยีหลากหลายเข้ามาให้บริการในการลดเซลลูไลท์ เช่น อุปกรณ์การนวดเคลื่อนไหว อินฟราเรด ความร้อน และเครื่องกระตุ้นไฟฟ้า เครื่องดูดไขมัน เป็นต้น ซึ่งเป็นเทคโนโลยีเหล่านี้ได้รับนิยมอย่างมากในการลดเซลลูไลท์ เพราะสามารถทำควบคู่กับการนวดได้ด้วย ทำให้เราสามารถลดเซลลูไลท์ได้อย่างมีประสิทธิภาพและได้ผลลัพธ์ที่ดีกว่าการนวดไทยเพียงอย่างเดียว

  • Infrared Light พลังงานของอินฟาเรดบริสุทธิ์ที่ทำงานผ่านการใช้อุณหภูมิบำบัดโดยเตียงอินฟาเรด ทำหน้าที่ส่งผ่านคลื่นอินฟาเรดบริสุทธิ์เข้าสู่ร่างกาย ทำให้อุณหภูมิในร่างกายสูงขึ้นประมาณ 2 – 3 องศาเซลเซียส แล้วปรับเป็นการแช่น้ำเย็นจัดในทันที กระบวนการทั้งหมดนี้จะช่วยกระตุ้นให้ระบบการไหลเวียนของเลือดและน้ำเหลืองดีขึ้น ทำให้เกิดการสลายตัวของไขมันสะสมในเซลลูไลต์ในจุดต่าง ๆ ของร่างกายทันที และสามารถทำได้ทั้งต้นขาด้านในและด้านนอก สะโพก หน้าท้อง เอว หน้าอก เข่า ไขมันด้านหน้าและด้านหลังรักแร้ ต้นแขน และใต้คาง เป็นต้น
      • ข้อดี : ไม่เกิดรอยแผล ไม่ต้องพักฟื้น เซลล์ไขมันสลายตั้งแต่ครั้งแรกที่ทำ ไม่ก่อให้เกิดอันตรายเพราะควบคุมด้วยเซนเซอร์ตลอดระยะเวลาในการทำ ไม่ก่อให้เกิดความผิดปกติของระบบการทำงานของตับ และค่าไขมันในเลือด
  • Radio – Frequency เป็นเทคโนโลยีการกำจัดไขมันด้วยคลื่นวิทยุความถี่สูง (Radio – Frequency) ที่เรียกแบบย่อ ๆ ว่าพลังงาน RF พลังงานชนิดนี้มีส่วนช่วยในการสลายไขมัน และกระตุ้นให้เกิดการหดตัวของเส้นใยคอลลาเจน และอิลาสตินที่ยึดเกาะกันอยู่ใต้ชั้นผิวหนัง ซึ่งการหดตัวกระชับขึ้นของเส้นใยเหล่านี้จะส่งผลให้ผิวชั้นนอกตึงกระชับตามไปด้วย สามารถทำได้บริเวณหน้าท้อง สะโพก ต้นขา เอว และท้องแขน เป็นต้น
      • ข้อดี : เห็นผลชัดเจนทันทีที่ทำ ไขมันถูกกำจัดออกจากร่างกายทันที แก้ปัญหาผิวหนังหย่อนคล้อยโดยไม่ต้องผ่าตัด ไม่ต้องพักฟื้นและไม่มีแผลเย็บ ผิวยกกระชับเรียบเนียนขึ้น สามารถลดไขมันส่วนเกินได้ประมาณ 1 – 7 เซนติเมตร
  • Ultrasound เทคโนโลยีอัลตราซาวด์เพื่อสลายไขมัน ที่ให้ผลลัพธ์พร้อมกัน 2 เรื่อง ทั้งช่วยสลายไขมันส่วนเกินออกได้อย่างเฉพาะเจาะจง ตรงจุด และช่วยสลายพังผืดของเซลลูไลต์ในบริเวณที่มีเนื้อเยื่อไขมันตื้น เพื่อให้ผิวเรียบเนียนอย่างสม่ำเสมอ บริเวณที่แนะนำให้ทำคือช่วงต้นแขน หน้าท้อง เอว สะโพก ก้น และต้นขา เป็นต้น
      • ข้อดี : สลายพังผืดของเซลลูไลต์ พร้อมได้ผิวเรียบเนียนเสมอกัน พลังงานอัลตราโซนิกสลายไขมันได้อย่างตรงจุด ผิวกระชับ สัดส่วนลดลง สลายไขมันโดยไม่รบกวนเนื้อเยื่อโดยรอบ

จริง ๆ แล้วการลดเซลลูไลท์ไม่ใช่เรื่องง่าย และการดำเนินการลดเซลลูไลท์ให้เหมาะสมก็อาจจะแตกต่างกันไปตามสภาพผิว และระดับของเซลลูไลท์ การรับประทานอาหารที่ดี การออกกำลังกายอย่างเหมาะสม การดูแลผิวหนัง และเครื่องมือดูแลทางการแพทย์ สามารถช่วยลดไลท์และป้องกันไม่ให้เซลลูไลท์กลับมาอีกในอนาคตได้ แต่อย่างไรก็ตาม เราควรเข้าไปรับคำปรึกษาจากแพทย์ ผู้เชี่ยวชาญในด้านการลดเซลลูไลท์ เพื่อให้ได้วิธีและแนะนำเครื่องมือที่ช่วยลดเซลลูไลท์ที่เหมาะสม และทำให้สามารถลดเซลลูไลท์ได้รวดเร็ว ปลอดภัย ไม่เกิดผลเสียกับสุขภาพผิวหนังของคุณ โดยเราขอแนะนำสุดยอดโปรแกรม ลดเซลลูไลท์ CELLUSLIM TECH จาก Slim Up Center กัน

PROGRAM – CELLUSLIM TECH

นวัตกรรม 2IN1 ผสานคลื่นความร้อน Thermic IR ซึ่งเป็นระบบฟาร์อินฟราเรดส่งผลให้เกิดความร้อนลึก (Deep-thermal) กับ ระบบแรงดูดสูญญากาศ (Vacuum) ใช้เวลา 40 นาที ทำให้เกิดการหดตัว / คลายตัวกับผิวหนัง และ กล้ามเนื้อ เกิดการ Decompress คล้ายคลึงกับ Massage ซึ่งส่งผลให้เกิดการลดและลดเซลลูไลท์กระตุ้นระบบการขับเสียของเซลร่างกาย ลดการบวมน้ำ ปรับปรุงและฟื้นฟูระบบไหลเวียนของโลหิตและระบบน้ำเหลือง กระชับผิวหนังและกล้ามเนื้อได้มีประสิทธิภาพ

CELLUSLIM TECH – ข้อดี และ สรรพคุณ

คลื่น Thermic IR (Far Infrared)

  • ลดสัดส่วนพร้อมยกกระชับผิว
  • ลด Cellulite ทำให้ผิวเรียบเนียนขึ้น
  • กระตุ้นระบบการไหลเวียนเลือดและน้ำเหลืองและคลายตัวของกล้าม
  • เพิ่มการไหลเวียนเลือด
  • กระตุ้นการขับของเสีย

CELLUSLIM TECH

ระบบแรงดูดสูญญากาศ (Vacuum)

  • ช่วยลด Cellulite
  • ลดการหดรั้งของผังผืดและเนื้อเยื่อต่างๆ
  • กล้ามเนื้อคลายตัว
  • กระตุ้นการจัดเรียงตัวของคอลลาเจน และอิลาสติน
  • ช่วยทำให้คลื่น Thermic IR ลงสู่ชั้นผิวได้ลึกมากขึ้น

Cellu1-4

หุ่นสวย สุขภาพดี เริ่มต้นที่ Slim Up Center พร้อมให้คำปรึกษาและบริการทั้ง 18 สาขาทั่วประเทศแล้ววันนี้

👉ปรึกษาลดน้ำหนัก  ไขมัน และ สัดส่วน ทักแชท

Contact Us

FB : http://m.me/SlimUp/

Line : https://bit.ly/Slimupcenter หรือ @Slimupcenter

IG : Instagram.com/Slimup_center

Website: www.Slimupcenter.co.th

Call Center : 02-620-0000